วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โลจิสติกส์

โลจิสติกส์
โลจิสติกส์ หรือ ลอจิสติกส์ (อังกฤษ: logistics) เป็นระบบการจัดการการส่งสินค้า ข้อมูล และทรัพยากรอย่างอื่นจากจุดต้นทางไปยังจุดบริโภคตามความต้องการของลูกค้า โลจิสติกส์เกี่ยวข้องกับการผสมผสานของ ข้อมูล การขนส่ง การบริหารวัสดุคงคลัง การจัดการวัตถุดิบ การบรรจุหีบห่อ โลจิสติกส์เป็นช่องทางหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่เพิ่มมูลค่าของการใช้ประโยชน์ของเวลาและสถานที่
คำว่า โลจิสติกส์ (logistics) มาจากภาษาฝรั่งเศสคำว่า logistique ที่มีรากศัพท์คำว่า โลเชร์ (loger) ที่หมายถึงการเก็บ โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการขนส่งสินค้าทางการทหาร ในการส่งกำลังบำรุง ทั้งเสบียง อาวุธ กำลังพล เพื่อสนับสนุนการรบ หรือ กิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ จากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง อาจมีการจัดเก็บระยะเวลานานหรือระยะเวลาชั่วคราว เช่น เอกสาร สินค้าสำเร็จรูป วัตถุดิบ และอื่น ๆ
 

โลจิสติกส์ มีศาสตร์แขนงต่างๆที่เกี่ยวข้องอยู่ 3 ศาสตร์ โดยจะมีมุมมองที่ต่างๆกัน ดังนี้
1.             วิศวกรรมศาสตร์ ซึ่ง ในส่วนวิศวกรรมศาสร์นี้จะมีสาขาที่เกี่ยวข้อง คือ สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ(Industrial Engineering) และ สาขาวิศวกรรมโยธา(Civil Engineering)โดยสาขานี้จะคำนึงถึงกิจกรรมในการเคลื่อนย้ายสินค้าเป็นหลัก เพื่อให้การขนส่งสินค้านั้น มีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้ทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเพลิง หรือ เวลาในการขนส่งให้น้อยที่สุด
2.             บริหารธุรกิจ ซึ่ง สาขานี้จะมองในเรื่อง ของการขนส่งระหว่างประเทศโดยจะพิจารณา ภาษี กฎหมาย ค่าระวาง นโยบายหรือยุทธศาสตร์ทางด้านโลจิสติกส์ของแต่ละประเทศ และ การค้าระหว่างประเทศเพื่อนำมาประกอบ การวางแผนการขนส่งสินค้าไปยังประเทศต่างๆ
3.             การจัดการสารสนเทศ ซึ่ง จะศึกษาในส่วนของ software และ hardware นำมาควบรวมกันเป็น solution หรือ บริการ ที่จะช่วยให้การดำเนินกิจกรรมทาง โลจิสติกส์มีความคล่องตัวมากขึ้น
 

อ้างอิง

  • Baziotopoulos (2008). An Investigation of Logistics Outsourcing Practices In the Greek Manufacturing Sector. PhD thesis- "".

คำนิยาม

พจนานุกรมของเว็บสเตอร์ (Webster)ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ :

    • สาขาวิทยาการและการปฏิบัติการทางการทหารที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดหา การจัดส่ง การบำรุงรักษาอุปกรณ์ และการรักษาพยาบาลบุคลากร พร้อมทั้งการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการต่างๆ ให้ รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่สัมพันธ์กันด้วย
  • ในธุรกิจ นิยมใช้คำนี้กันตั้งแต่ช่วงสงครามอ่าว (Gulf War) เมื่อปี ค.ศ. 1991 โดยเฉพาะตั้งแต่ที่มีการตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ของ William Pagonis นายพลผู้รับผิดชอบด้านลอจิสติกส์ในสงครามครั้งนั้นในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1992 สภาการจัดการลอจิสติกส์ (Council of Logistics Management : CLM) ได้ให้คำจำกัดความของคำว่าลอจิสติกส์สำหรับในธุรกิจซึ่งใช้กันโดยทั่วไป ไว้ดังนี้ :
    • ลอจิสติกส์ คือ ส่วนหนึ่งของกระบวนการโซ่อุปทานซึ่งจะวางแผน ดำเนินการ และควบคุมการไหลไปข้างหน้าและการไหลย้อนกลับและการจัดเก็บสินค้า การบริการ และสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกันระหว่างจุดกำเนิดและจุดบริโภคอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
  • William Pagonis ให้คำจำกัดความไว้ว่าเป็น
    • การบูรณาการการขนส่ง การจัดหา การจัดเก็บในคลังสินค้า การบำรุงรักษา การจัดซื้อจัดหา การทำสัญญาและการทำงานแบบอัตโนมัติ (Automation) ไว้ในหน้าที่เดียว ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการให้ความสำคัญกับประเด็นปลีกย่อยมากกว่าเป้าหมายรวม (Suboptimization) ไม่ว่าในส่วนใด เพื่อช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายโดยรวมหรือกลยุทธ์ วัตถุประสงค์ หรือพันธกิจที่เฉพาะเจาะจงได้
  • Martin Van Creveld ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า ลอจิสติกส์ ซึ่งเป็นคำศัพท์ของทางทหารนั้นว่าเป็น
    • ศิลปะแห่งการเคลื่อนย้ายกองทัพและการจัดส่งยุทโธปกรณ์และเสบียงอาหารให้แก่กองทัพ
  • คำนิยามจาก Council of Supply Chain Management Professional (CSCMP)
    • การจัดการลอจิสติกส์ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการโซ่อุปทานซึ่งวางแผน นำไปปฏิบัติ และควบคุมการไหลทั้งไปและกลับอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพของสินค้า บริการและสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดที่มีการบริโภค เพื่อที่จะให้ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า

กิจกรรมที่สำคัญของโลจิสติกส์

1.             Order management/Customer service คือ การจัดการการรับหรือส่งสินค้า และ การบริการลูกค้า

2.             Packaging คือ การคัดเลือกบรรจุภัณฑ์เพื่อมาใช้บรรจุสินค้า

3.             Material handling คือ การขนถ่ายวัสดุภายในโรงงาน หรือ ในคลังสินค้า

4.             Transportations/Mode of transportations (Domestic & International) คือ การขนส่งสินค้าระหว่างสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ

5.             Warehouse management (Layout, locations, control technology/equipment, facility) คือ การจัดการคลังสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการวางผังสินค้า หรือ สถานที่ ที่จะตั้งคลังสินค้า

6.             Inventory control systems (Qty)/ material management คือ ระบบในการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนหรือกระจายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7.             Supplier management/material management คือ การบริหารจัดการผู้ผลิตวัตถุดิบให้เรา(Supplier) เพื่อให้ได้ วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และ เพียงพอต่อความต้องการในเวลาที่เหมาะสม

8.             Distribution center/distribution hub คือ การกำหนดแหล่งที่ตั้งในการกระจายสินค้า เพื่อให้เกิดการกระจายสินค้าได้อย่างทั่วถึง

9.             Manufacturing/production control คือ ระบบควบคุมการผลิต 

การวัดประสิทธิภาพที่เกิดจากการดำเนินการในกิจกรรมโลจิสติกส์

  • ต้นทุนที่ใช้ในกิจกรรมโลจิสติกส์
  • การตอบสนองอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็น อัตราการหมุนเวียนสินค้า รอบเวลาในการจัดส่งสินค้า เป็นต้น
  • ความพึงพอใจของลูกค้า

อ้างอิง

  • Baziotopoulos (2008). An Investigation of Logistics Outsourcing Practices In the Greek Manufacturing Sector. PhD thesis- "".

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สรุปเนื้อหาที่เรียนบทที่ 2-4

สรุปเนื้อหาที่เรียนบทที่ 2-4
บทที่ 2 การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์
                การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์หรือทางถนนเป็นการเคลื่อนย้ายบุคคลด้วยรถยนต์ที่วิ่งบนถนน ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจากการเดินเท้าและการใช้สัตว์เป็นพาหนะเดินทางไปตามที่ต่างๆ จนกระทั่งมีการประดิษฐ์รถยนต์โดยสารที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน พร้อมทั้งมีการพัฒนาถนนให้กว้างใหญ่ แข็งแรงและใช้ได้ทุกฤดูกาล จนทำให้การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์เจริญก้าวหน้าในปัจจุบัน
                การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์มีความได้เปรียบ คือ เป็นหน่วยเล็ก สามารถขยายงานได้ง่ายการดำเนินงานไปยุ่งยาก มีความคล่องตัวสูง สามารถบริการได้ถึงประตูบ้าน มีต้นทุนระยะใกล้ต่ำ ส่วนความเสียเปรียบก็คือบรรทุกได้ครั้งละไม่มาก ต้นทุนระยะไกลสูง เกิดอุบัติเหตุง่าย เครื่องมืออุปกรณ์ล้าสมัยง่าย
                สำหรับองค์ประกอบของการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์มี 4 องค์ประกอบคือ (1) ผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์ (2) รถยนต์โดยสาร (3) เส้นทางถนน และ (4) สถานีขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์
                ส่วนการให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์นั้นมี 3 รูปแบบคือ การให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์ในตัวเมือง การให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์ระหว่างเมือง และการให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์ระหว่างประเทศ
                บทที่3 การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟ
                การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟเป็นการเคลื่อนย้ายบุคคลด้วยรถไฟที่ต่อกันเป็นขบวนวิ่งไปบนรางเฉพาะตามเส้นทาง ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจากการขับเคลื่อนด้วยรถจักรไอน้ำ จนกระทั่งใช้เครื่องขับเคลื่อนด้วยไอพ่น จึงทำให้การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
                การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟมีความได้เปรียบคือสามารถให้บริการได้ครั้งละมากๆ มีความสะดวกสบายในระหว่างการขนส่ง มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับการขนส่งระยะปานกลางและไกล ส่วนความเสียเปรียบก็คือต้องลงทุนมาก มีความคล่องตัวน้อย ขนส่งระยะใกล้ ต้นทุนสูง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางได้ หากเลิกบริการจะเสียหายมาก
                สำหรับองค์ประกอบของการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟมี 4 องค์ประกอบคือ (1) ผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟ (2)  ขบวนรถไฟ (3) เส้นทางรถไฟ และ (4) สถานีรถไฟ
                ส่วนการให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟมี 2 รูปแบบ คือ การให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟในตัวเมือง และการให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟระหว่างเมือง
บทที่4 การขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือ
การขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือเป็นการเคลื่อนย้ายบุคคลด้วยเรือไปตามลำน้ำ แม่น้ำ ทะเล และมหาสมุทร ซึ่งมีวิวัฒนาการจากแพจนกลายเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ปัจจุบันการขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือได้ลดความสำคัญลง เพราะคนไม่นิยมเดินทางด้วยเรือ เพราะต้องใช้เวลาเดินทางนาน แต่มีบทบาทสำคัญในการส่งสินค้าระหว่างประเทศมาก อย่างไรก็ตามการขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือในปัจจุบันมักใช้เดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
                การขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือมีความได้เปรียบ คือ ต้นทุนต่ำดำเนินงานต่ำ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง อัตราค่าโดยสารถูก สามารถขนส่งได้คราวละมากๆ ส่วนความเสียเปรียบก็คือมีความช้ามาก การบริการมีลักษณะเป็นฤดูกาล และถูกกีดขวางด้วยธรรมชาติ อีกทั้งต้องมาจากการขนส่งทางถนนก่อน
                สำหรับองค์ประกอบของการขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือมี 4 องค์ประกอบ คือ                           (1) ผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือ (2) เรือโดยสาร (3) เส้นทางเดินเรือ และ (4) ท่าเรือ
                ส่วนการให้บริการขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือมี 3 รูปแบบ คือ การขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือในตัวเมืองกรุงเทพฯ การขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือระหว่างเมือง และการขนส่งผู้โดยสารด้วยเรือระหว่างประเทศ

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเวียดนามโดยรถไฟ

ก่อนจะเที่ยวเมืองซาปา เมืองในความฝันของหลายๆคน เราจะเริ่มต้นการเดินทางด้วยรถไฟ VIP จากฮานอย ไปลงที่ล่าวกาย (Lao Cai) เพื่อเดินทางด้วยรถตู้ 4D ขึ้นเขาสู่ซาปา... ติดตามได้เลยครับ

ซาปา SAPA สวรรค์บนดิน ในถิ่น

ประเทศเวียดนาม ซาปา

เมืองในขุนเขาของเวียดนามตอนเหนือ เมืองที่ยังไม่ค่อยมีคนไทยรู้จักมากนัก เพราะต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ ด้วยรถไฟตู้นอน VIP ที่หรูหรา สะอาด ไม่โครงเครง จนนอนไม่หลับเหมือนบ้านเรา ลงจากรถไฟตอนเช้ามืดก็ต่อรถตู้ VIP ขึ้นเขาสู่ซาปา ด้วยทัศนียภาพสองข้างที่งดงามจนนึกไม่ถึงว่า จะสวยปานนี้ นาข้าวแบบขั้นบันใดที่หลดหลั่น เหลืองอร่ามจนอยากลงไปเดินเล่นยิ่งเมื่อรถพาสู่ตัวเมืองซาปา แล้วก็แทบไม่น่าเชื่อว่า นี่เป็นยุโรป หรือ เอเชียกันแน่ เมืองเล็กๆที่มีความสงบเงียบ ล้อมรอบด้วยขุนเขา ในท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น จนไกด์บอกว่าสามารถมองเห็นหิมะปกคลุมยอดเขาในฤดูหนาว ส่วนในเมืองก็มีแม่คะนิ้งให้เห็นโดยไม่ต้องเดินทางไปที่ไหน... ซาปา มีเสน่ห์ในทุกแห่งที่ไป โดยเฉพาะทิวทัศน์สองข้างทางระหว่างเดินทางออกนอกเมืองเป็นภาพที่สวยเกินบรรยาย ธรรมชาติที่บริสุทธิ์มีให้เห็นทั้งเมือง.. บ้านเมือง วิถีชีวิตของผู้คนที่ดูเรียบง่าย โดยเฉพาะตอนเช้าๆและตอนเย็นจะเห็นเด็กนักเรียนเดินไปโรงเรียนผ่านหน้าโรงแรม อยู่ตลอดเวลาเป็นภาพที่ดูน่ารักของผู้คนในเมืองนี้ ที่ไม่เร่งรีบ รถราที่นี่มีน้อยมากจนเดินไปไหนมาไหนได้สะดวก... หลายคนมาแล้วประทับใจ จนอยากจะบอกว่า แทบจะหาไม่ได้อีกแล้วในโลกใบนี้
เหตุผลในการเลือกท่องเที่ยวโดยทางรถไฟ


สถานีรถไฟเมืองฮานอย


ภายในสถานีรถไฟเมืองฮานอย


รถไฟสองชั้น แบบเอนนอน แต่ที่นั่งดูสบายกว่าบ้านเรา

หัวรถจักร ดูโบราณๆ แต่วิ่งนิ่มดีมาก

ตู้นอนชั้น 1 VIP 1 ห้องนอนได้ 4 คน เตียงบน-ล่าง ซ้ายขวา



ตรงนี้เตียงนอนล่าง มีโต๊ะไม้ตัวเล็กๆ โป๊ะไฟ มีหมอน ผ้าห่ม แบบบ้านเรา

ใต้โต๊ะมีปลั๊กไฟไว้บริการ ไว้ชาร์ตแบต ห้องน้ำสะอาด นอนสบาย รถไฟเสียงไม่ดัง นิ่มมาก

นอนบนนอนล่าง ไม่ต่างกัน เพราะรถไฟวิ่งนิ่มมาก วางแก้ว วางขวดน้ำไม่หก ไม่เขยื้อน

ซาปารถไฟชั่น 1 ของเวียดนาม คล้ายกับบ้านเราสมัยก่อนที่เลิกบริการชั้น 1 ไปแล้ว ในห้องนอนได้ 4 คน เตียงบนและล่าง มีประตูปิดล็อคได้ ในตู้มีปลั๊กไฟบริการ ซาร์ตแบตมือถือ แบตกล้องได้ ใช้ไฟ220 Volt รถไฟเวียดนาม นอนสบายมาก เสียงไม่ดัง ไม่โครงเครงเหมือน รฟท. ห้องน้ำสะอาด ไม่มีกลิ่น สะดวกสบาย ที่สำคัญตรงเวลามาก ขาดเกินไม่เกิน 5 นาที คนไทยติดใจทุกคน..


 อ้างอิง
  • L:\รถไฟเวียดนาม รวมภาพ ซาปา เวียดนาม sapa vietnam  ซาปา ล่าวกาย ลาวไก Lao cai, vietnam vip train.mht
  • บริษัท บอนด์สตรีททัวร์ แอนด์ทราเวล จำกัด  สมาชิกกลุ่ม
    1. น.ส.รัชนี หะยีวอ 51137-0068
    2. น.ส.สุภาพร วังมูล 51137-0079
    3. น.ส.กฤติยา เหล็กเพชร 51137-0084
    4. น.ส.จามจุรีย์ หมื่นอภัย 51137-0098

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มาร์โค โปโล

หลายคนอาจเคยเชื่อว่าวิชาประวัติศาสตร์เป็นเรื่องอดีตอันเป็นความจริงแท้แน่นอน เมื่อบันทึกกันไว้อย่างไรแล้วจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่โดยแท้จริง ประวัติศาสตร์ก็แทบไม่ต่างจากวิทยาการต่างๆ ที่ย่อมมีความก้าวหน้าไม่หยุดนิ่ง ครั้งหนึ่งเราเคยมีความเชื่ออย่างหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปอาจมีเอกสารหลักฐานหรือทฤษฎีใหม่ๆ ขึ้นมาหักล้างความเชื่อนั้นๆ ลงได้
ดังกรณีของ มาร์โค โปโล ซึ่งเคยเชื่อกันว่าเป็นชาวยุโรปรายแรกที่บันทึกการเดินทางไปยังประเทศจีนในยุคจักรวรรดิ์มองโกลของกุบไลข่าน แต่ผลจากการตรวจสอบของนักวิชาการรุ่นหลัง ได้เริ่มสั่นคลอนความเชื่อดังกล่าวลงไปมาก ดังปรากฏในสารคดีเรื่อง The True Story of Marco Polo
เรื่องเกี่ยวกับ มาร์โค โปโล ตามที่ปรากฏจากหลักฐานประวัติศาสตร์ เขาเกิดในราวปี ค.ศ.1254 (พ.ศ.1797) ในเมืองเวนิซ แต่ตระกูลของเขาน่าจะอพยพมาจากแถบยูโกสลาเวีย ในยุคนั้น ชาวยุโรปยังไม่รู้จักดินแดนทางตะวันออกที่เลยแดนอาหรับออกไป นึกว่าเป็นแถบนั้นคงเป็นสวนอีเดนหรือแดนมนุษย์ประหลาดอะไรไปนู่น แม้จะมีการค้าตามเส้นทางสายไหม ก็เป็นการค้าแบบส่งสินค้าต่อกันมาเป็นทอดๆ จากเขตหนึ่งไปอีกเขตหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งในราวปี 1269 (พ.ศ.1812) บิดาและลุงของมาร์โค คือ นิโคโล และ มัฟเฟโอ (Niccolo and Maffeo Polo) ได้เดินทางไปค้าขายทางตะวันออก ทางแถบอาหรับ จนได้พบกับผู้แทนของจักรพรรดิ์กุบไลข่าน ผู้ซึ่งเชิญพี่น้องทั้งสองให้ติดตามไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ์ซึ่งไม่เคยรู้จักชาวยุโรปมาก่อน นิโคโล และมาฟาเอลรับคำเชิญและตามผู้แทนดังกล่าวไปจนถึงเมืองจีน และได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ์กุบไลข่าน (มาร์โค โปโล จึงมิใช่ชาวยุโรปคนแรกที่ไปเมืองจีนอย่างที่ผมและใครอีกหลายคนเคยเข้าใจ) กุบไลข่านทรงพอพระทัยสองพี่น้องนี้มาก และได้ขอให้ทั้งสองนำสาส์นไปถวายองค์พระสันตปาปาเพื่อขอนักปราชญ์ 100 คน ใน 7 สาขา มาเพื่อช่วยการปกครองจีน เมื่อทั้งสองกลับมาถึงเวนิซในอีก 9 ปีถัดมา เขาพบว่าพระสันตปาปาพึ่งสิ้นพระชนม์ และทางวาติกันยังไม่ได้ดำเนินการเลือกพระสันตปาปาองค์ใหม่
ภาพวาดคาราวานของ มาร์โค โปโล
สองพี่น้องรอจนปี 1271 (พ.ศ.1814) จึงตัดสินใจเดินทางกลับไปเฝ้ากุบไลข่าน ครั้งนี้ มาร์โค โปโล วัย 17 ปี จึงได้เดินทางไปด้วย ระหว่างการเดินทางได้เข้าเฝ้าพระสันตปาปาองค์ใหม่ที่พึ่งได้รับเลือก ณ กรุงเยรูซาเล็ม พระสันตปาปาได้มอบหมายให้พระโดมินิกันเดินทางไปด้วย เพียง 2 รูป ซึ่งทั้ง 2 ได้เปลี่ยนใจเดินทางกลับในเวลาต่อมา คณะของครอบครัวโปโลจึงได้เดินทางข้ามทะเลทรายโกบี ไปจนถึงเมืองจีนได้สำเร็จ ได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ์กุบไลข่านที่พระราชวังเมืองชางตู มาร์โค โปโล ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการเดินทางทั่วแผ่นดินจีนตอนใต้ รวมถึงเป็นเจ้าเมืองหยางโจว ถึง 3 ปี หลังจากรับใช้ราชสำนักมองโกล 17 ปี จึงเดินทางกลับโดยทางเรือ ระหว่างทางไปติดมรสุมอยู่ถึง 5 เดือน จึงได้เดินทางกลับผ่านศรีลังกา อินเดีย ไปจนถึงเวนิซ
ภาพวาด มาร์โค โปโล ขณะเข้าเฝ้า กุบไลข่าน
ภาพวาด กุบไลข่าน ขณะประพาสอุทยานในบริเวณพระราชวัง
เมื่อ มาร์โค โปโล กับบิดาและลุงเดินทางกลับถึงเวนิซ ในปี 1295 (พ.ศ.1838) ปรากฏว่าญาติๆ จำพวกเขาไม่ได้เลย และคิดว่าพวกเขาตายไปแล้ว มีเรื่องเล่าว่าพวกเขาได้นำทรัพย์สมบัติมีค่ากลับมาด้วย หลังจากนั้น นครรัฐเวนิซได้แพ้สงครามแก่รัฐเจนัว มาร์โค โปโล ได้ถูกขังคุกรวมอยู่กับ รัสติเชลโล (Rustichello da Pisa) นักเขียนเรื่องราวเพ้อฝันประเภท กษัตริย์อาเธอร์ ณ ที่คุมขังนี้เองที่รัสติเชลโลได้บันทึกเรื่องราวการเดินทางของมาร์โค โปโล ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรตามคำบอกเล่าของเขา จนเป็นเล่ม ชื่อว่า Il Milione หรือ หลังจากทั้งสองพ้นจากคุกในปี 1299 (พ.ศ.1842) จึงเริ่มมีการแจกสำเนาหนังสือนี้จากการคัดลอกด้วยมือ ได้รับการแปลถึง 4 ภาษา นักอ่านมองว่าเป็นเพียงเรื่องแต่ง และไม่ได้รับการยอมรับจากทางการเวนิซเท่าที่ควร เหตุการณ์ทั้งในยุโรปและในจีนเองในระยะต่อมาก็เป็นอุปสรรคในการที่จะเดินทางติดต่อกัน กล่าวคือในจีนเอง จักรพรรดิ์กุบไลข่านสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ปี 1294 (พ.ศ.1837) ตั้งแต่ มาร์โค ยังเดินทางกลับไม่ถึงเวนิซ ชาวมองโกลเกิดการแตกแยกสู้รบกันเองจนอาณาจักรแตกสลาย และถูกขับออกจากจีน ในยุโรปได้เกิดกาฬโรคระบาด คร่าวชีวิตผู้คนไปถึงกว่าครึ่ง จนไม่มีใครคิดจะเดินทางไปจีน ส่วน มาร์โค โปโล นั้น ถึงแก่กรรมในปี 1324 (พ.ศ.1867) หนังสือของ มาร์โค โปโล ได้รับความสนใจอีกครั้งเมื่อมีการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ในยุโรปในศตวรรษที่ 15 อิทธิพลสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือแรงบันดาลใจให้โคลัมบัสต้องการเดินทางไปจีนโดยเส้นทางอื่นจนไปพบทวีปอเมริกาในที่สุด หนังสือเล่มนี้จัดได้ว่ามีทั้งส่วนที่เป็นคุณูปการและส่วนที่สร้างความสับสนให้กับคนรุ่นหลังปนเปนุงนังกันอยู่พอสมควร คือ
  • เส้นทางการเดินทางที่อ้างถึงคลุมเครือ ไม่ชัดเจน มีผู้พยายามทดลองเดินทางตามเส้นทางในหนังสือแล้วไม่สำเร็จ แต่ความคลุมเครือนี้เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส พยายามหาเส้นทางไปจีนทางอื่น คือทางทะเล จนเป็นเหตุให้มีการค้นพบทวีปอเมริกา
  • มีการเล่าถึงรายละเอียดความเป็นอยู่ และอารยธรรมของชาวจีนที่ขณะนั้นเหนือกว่าชาวยุโรปมาก เช่น การศาสนา การใช้เงินกระดาษ การใช้ถ่านหินทำความร้อน ชีวิตที่หรูหราของราชสำนักมองโกล การสร้างถนนและคลอง การสวมผ้าไหม สุขอนามัยต่างๆ แต่บางเรื่องกลับไม่พูดถึงเลย เช่น การดื่มน้ำชา การใช้ตะเกียบ การมัดข้อเท้าเด็กหญิง กำแพงเมืองจีน และการพิมพ์ที่จีนมีมาก่อน Gutenberg หลายปี ฯลฯ
กำแพงเมืองจีน สิ่งมหัศจรรย์ที่ มาร์โค โปโล ไม่เคยกล่าวถึง
  • ไม่มีเอกสารหรือวรรณกรรมใดๆ ของจีนหรือมองโกล กล่าวถึง มาร์โค โปโล เลย ผู้ที่ยังเชื่อว่า มาร์โค โปโล ไปจีนจริง กล่าวแก้ว่าเขาอาจใช้ชื่ออื่น แต่ในสารคดีไม่ได้กล่าวว่าใช้ชื่ออะไร
  • ฝ่ายที่ไม่เชื่อการเดินทางของ มาร์โค โปโล แสดงความแปลกใจที่กุบไลข่านทรงแต่งตั้งชาวต่างประเทศที่อายุน้อยอย่าง มาร์โค โปโล เป็นข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณ แต่ฝ่ายที่ยังเชื่อ มาร์โค โปโล เห็นว่าไม่แปลก เพราะจักรวรรดิ์มองโกลมักใช้นโยบายการสอดแนมเช่นนี้เป็นปกติอยู่แล้ว
  • ในหนังสือเล่าเรื่องส่วนตัวของ มาร์โค โปโล น้อยมาก และมีการสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ ตระกูลโปโลซึ่งอยู่ในจีนเป็นสิบปีถึงคิดจะเดินทางกลับบ้านเกิด ทำไมไม่แต่งงานมีครอบครัวที่นั่น มีคำอธิบายว่า อาจเป็นเพราะจักรพรรดิ์กุบไลข่านใกล้จะสิ้นพระชนม์ มาร์โคกับพ่อและลุงอาจเกรงว่าจะมีภัยการเมืองมากระทบต่อสถานะของตน
  • หนังสือของ มาร์โค โปโล มักเรียกชื่อต่างๆ เป็นภาษาเปอร์เซีย หรือตุรกี ทำให้เกิดความสงสัยว่า เรื่องของเขาอาจเป็นเพียงการปะติดปะต่อคำบอกเล่าต่อๆ กันมาของบรรดาพ่อค้าชาติต่างๆ
  • ความเชื่อที่ว่า มาร์โค โปโล เป็นผู้นำให้กำเนิดพาสต้า อันที่จริงหนังสือของเขาไม่เคยอวดอ้างเลย ชาวอาหรับเป็นผู้นำข้าวสาลีและพาสต้าเข้ามายังยุโรปหลายร้อยปีก่อน มาร์โค โปโล เกิดด้วยซ้ำ
  • ฯลฯ
แผนที่โลกฉบับแรกๆ ที่วาดตามข้อมูลในหนังสือของ มาร์โค โปโล
ทั้งนี้ ฝ่ายที่ไม่เชื่อว่า มาร์โค โปโล เดินทางไปเมืองจีนจริงๆ เช่น Frances Wood ผู้แต่งหนังสือเรื่อง Did Marco Polo Go to China?  ก็ไม่ได้ประณามว่าเขาโกหกมดเท็จซะทีเดียว ในสารคดี Wood ได้อธิบายว่า หนังสือของ มาร์โค โปโล กำเนิดโดย รัสติเชลโล เป็นผู้จดบันทึกขณะอยู่ในคุกเมืองเจนัวด้วยกัน และในระยะแรก การเผยแพร่หนังสือดังกล่าวกระทำโดยการคัดลอกต่อๆ กันมา ซึ่งอาจเกิดความผิดเพี้ยนแต่งเติมขึ้นได้ และยังมีความเป็นไปได้ด้วยว่า มาร์โค โปโล อาจจะไม่มีตัวตนจริงๆ เป็นเพียงตัวละครที่ รัสติเชลโล สมมติขึ้นมาในหนังสือ ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า รัสติเชลโล จะเป็นคนปลิ้นปล้อนหลอกลวง แต่ว่าเป็นการเขียนหนังสือภูมิศาสตร์โลกหรือหนังสือท่องเที่ยวโดยการแต่งเติมสีสัน ขอให้ลองนึกเปรียบเทียบกับแบบเรียนชั้นประถมของบ้านเราสมัยหนึ่ง ที่มีการสมมติ สุดา คาวี หรือ มานี มานะ ฯลฯ ขึ้นมาเป็นตัวเดินเรื่อง หรือการที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช สมมติแม่พลอยกับพ่อเปรมขึ้นมาเล่าประวัติศาสตร์สี่แผ่นดินนั่นแหละครับ
ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเชื่อเรื่อง มาร์โค โปโล เพียงใดก็ตาม สิ่งที่สรุปตรงกันคือ ทุกฝ่ายยังคงยอมรับความสำคัญในหนังสือของเขา ที่ได้ทำให้ชาวยุโรปได้เปิดหูเปิดตา เห็นว่ายังมีชนชาติอื่นอย่างเช่นจีนที่มีอารยธรรมเหนือกว่าตน และเป็นแรงบันดาลใจให้นักเดินทางรุ่นหลังๆ ได้ออกมาเผชิญโลกภายนอก จนเกิดการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ต่อๆ มา

โคลัมบัส ผู้ค้นพบอเมริกา ด้วยแรงบันดาลใจจากหนังสือของ มาร์โค โปโล